หลักธรรมที่ทำให้ชีวิตมีความสุข | ||
หลักธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มี 84,000
พระธรรมขันธ์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ัหัวได้เลือกมา
1 ข้อ
เพื่อแนะนำให้ชาวไทยปฏิบัติ
เพื่อดำรงค์ชีวิตอย่างมีความสุข
คือหลักข้อ ฆราวาสธรรม พระพุทธเจ้าแบ่งคนในโลกนี้ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ 1. อนาคาริยะ คือ ผู้ที่ไม่มีเรือน เช่น นักบวชหรือพระ 2. อาคาริยะ คือ ผู้ครองเรือน ไม่ว่าจะโสดหรือมีครอบครัวก็ตาม เพราะใจผูกติดอยู่กับบ้าน หรือที่อยู่อาศัย เราเคยถามตนเองบ้างหรือไม่ว่า เราเกิดมาทำไม เป้าหมายของชีวิตคืออะไร ทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่ออะไร คำตอบที่จะได้รับคือ ความสุขในชีวิต คงไม่มีใครทำเพื่อความทุกข์ และองค์ประกอบอะไรที่จะนำไปสู่ความสุข หลักธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นคือ ฆราวาสธรรม 4 ข้อ ซึ่งได้แก่ 1. สัจจะ ฆราวาสที่ดีต้องมีสัจจะ ความหมายคือ ความจริง และ ตรง ความจริง เป็นคนจริง ตรงข้ามกับ เล่น คนจริง คือทำอะไรทำจริง ๆ ทุ่มเทใจลงไปเลย มีความเด็ดเดี่ยว เชื่อมั่นในตนเอง ตรง เป็นคนตรง ตรงข้ามกับ คต คนตรงอยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ ไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น เหมือนไม้ที่ตรงไม่ว่าจะมาจากไหนก็ใช้ร่วมกันได้ ไ้ม้ตรงดูได้ที่ โคนต้น กลาง และปลาย ส่วนคนตรง ดูได้ที่ ความคิด คำพูด และการกระทำ สรุป คนที่มีสัจจะทำอะไรก็จะประสบความสำเร็จ อย่างรวดเร็ว ได้รับความไว้วางใจ และมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว 2. ทมะ หมายถึง การพัฒนาตน ซึ่งมีความหมาย 2 นัยยะ คือ 2.1 ฝึกฝีมือตนเองให้มีความรู้และมีความสามารถ คนที่มีความรู้แต่ไม่มีความสามารถก็อาจจะไม่ประสบผลสำเร็จ ความรู้จึงต้องคู่กับความสามารถ นั่นก็คือ การมีศิลปะที่จะนำความรู้ไปใช้ ผู้ที่จะทำได้อย่างนั้นต้องเป็นคนช่่างสังเกต คนที่ช่างสังเกตจะเป็นคนใจละเอียด ช่างสังเกตในที่นี้คือ สังเกตข้อดีของผู้อื่น หรือคอยจับถูกของผู้อื่น ไม่ใช่จับผิดของผู้อื่น 2.2 ต้องสามารถหยุดตัวเองได้ คือ ชนะใจตัวเอง ไม่ให้ไปทำในเรื่องเสียหาย ไม่ทำความชั่ว ไม่ถลำไปในทางที่เสื่อม นั่นคือ ต้องรักษาศิล 5 ได้ และไม่ยุ่งกับอบายมุข ศิลแปลว่าปกติ คนผิดศิล คือคนผิดปกติ ศิลเป็นเครื่องจำแนกคนออกจากสัตว์
|
3. ขันติ
คือความอดทน
มีอยู่ 4
ระดับ ระดับที่ 1 อดทนต่อความลำบากตรากตรำ อดทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศ หนักเอาเบาสู้ ไม่ท้อถอย ระดับที่ 2 อดทนต่อทุกข์เวทนา เมื่อเจ็บป่วยก็ไม่สำออย ไม่โวยวาย ต้องเข้าใจว่าคนเรา เกิดแก่เจ็บตาย เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต เมื่อเจ็บไข้หรือป่วยไข้ ก็ต้องรู้จักรักษาดูแลตนเองและหาหมอตามความจำเป็น เจ็บป่วยร่างกายให้หมอรักษา แต่ใจเราต้องดูแลเองด้วยการฝึกสมาธิ ระดับที่ 3 อดทนต่อการเจ็บใจ อดทนต่อความกระทบกระทั่ง การอยู่กับคนหมู่มากย่อมเกิดปัญหากระทบกระทั่งไม่มากก็น้อย เหตุที่เกิดก็จะมาจากความถือตัวเอง ถือศักดิ์ศรี คนที่ถือตัวเองมาก ๆ ความทุกข์ยิ่งมาก คนที่ไม่ถือตัวจะมีความสุข ศักดิ์ศรีไม่อยู่ที่ความถือตัวหรือยศถาบรรดาศักดิ์ แต่มีอยู่ที่คุณธรรมที่มีอยู่ในตัวคือคุณธรรมภายใน ระดับที่ 4 อดทนต่อสิ่งเย้ายวน ความเย้ายวนใจ เช่น 1.เพศตรงข้าม 2.เรื่องสตางค์หรือลาภที่ไม่ควรได้ หรือความโลภ ความไม่พอ 3.คำสรรเสริญเยินยออันจะนำมาซึ่งความประมาทและหลงตัวเอง ต้องเ้ป็นคนเท้าติดดิน แล้วจะยืนอย่างมั่นคงปลอดภัย 4. จาคะ แปลว่าการสละ ซึ่งมี 2 อย่างคือสละสิ่งของให้เป็นทาน และการสละอารมณ์บูดอารมณ์เน่าออกจากตัว - การสละสิ่งของให้เป็นทาน มนุษย์เราเติบโตมาด้วยการให้ทานจากพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ครูอาจารย์และสังคม เมื่อถึงเวลาที่มีพอจะให้ได้ ต้องรู้จักให้ทาน เพื่อให้สังคมและโลกสงบ และสวยงาม - การสละอารมณ์บูดและเน่าออกจากใจ จะทำให้ใจสะอาด สงบ สดชื่น เบิกบาน อย่าทำตัวเป็นคน แบบคนกอดศพอยู่ตลอดเวลา ร่างกายของเราหรือสรีระยนต์ ก็ต้องมีการยกเครื่อง เช่นเดียวกับรถยนต์ การทำความสะอาดใจ ก็จะทำให้ร่างกายของเรามีประสิทธิภาพ โดยสรุปจะเห็นว่า หลักของฆราวาสธรรม 4 ครอบคุมหลักปฏิบัติของผู้ครองเรือน หากผู้ใดนำไปปฏิบัติแล้วจะพบกับความสุขที่แท้จริงอย่างแน่นอน
รวบรวมจากคำเทศนาของพระมหาสมชาย
ฐานวุฒโฒ นำเสนอโดย ผกามาศ บุญธรรม |